ถ้ำเชลย

ถ้ำเชลยตั้งอยู่  ม.10 ต.ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี อยู่ก่อนถึงถ้ำกระแซ ทางรถไฟสายมรณะ  ด้านหน้ามีทางรถไฟตัดผ่านเป็นทางรถไฟที่มุ่งหน้ายังถ้ำกระแซ ซึ่งเป็นจุดที่สร้างทางรถไฟเลาะริมหน้าผาเป็นจุดที่ยากที่สุดมีเชลยศึกล้มตายดั่งใบไม้ล่วง  ทั้งสองจุดอยู่ห่างกัน 1 กม. บริเวณถ้ำเชลยเป็นค่ายพักของเชลยศึกฝ่ายพันธมิตร ส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย เนเธอแลนด์ และพวกเชลยศึกจะใช้ถ้ำแห่งนี้เป็นที่หลบภัยจากการทิ้งระเบิดของเครื่องบินฝ่ายพันธมิตร

เมื่อ พ.ศ. 2484 ถึง พ.ศ. 2485  สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้ก่อสร้างทางรถไฟจากประเทศไทยไปประเทศพม่าและอินเดียระยะทางกว่า 400 กม. เพื่อใช้ขนส่งกองทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์จากไทยไป ยุโรป ญี่ปุ่นได้จับเชลยศึกฝ่ายพันธมิตรได้ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย เนเธอแลนด์ และเกณฑ์พลเรือนแถบเอเซีย กว่าสองแสนคน เพื่อสร้างทางรถไฟให้เสร็จภายใน 1 ปี เมืองกาญจนบุรีเป็นชัยภูมิสำคัญในการสร้างทางรถไฟเพื่อนำพากองทัพญี่ปุ่นบุกรบไปยึดประเทศในทวีปยุโรปเพราะระยะทางจากอ่าวไทยไปถึงพม่าไม่ไกล  และสภาพพื้นที่เป็นป่าเขาเหมาะแก่การบดบังอำพรางกองทัพ  เพื่อหลบหลีกจากการถูกโจมตีกองทัพที่เดินทางโดยเรือทางทะเล  ด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดจากฝ่ายพันธมิตรได้เป็นอย่างดี  ค่ายเชลยถูกสร้างขึ้นตลอดเส้นทางรถไฟตัดผ่าน

เชลยศึกนับแสนคนที่ถูกทหารญี่ปุ่นเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายนี้  ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัย ไข้เจ็บ ไข้ป่าหรือไข้มาลาเรีย  โรคอหิวาต์ตายกันทุกวันดังใบไม้ร่วง  ที่เหลือก็ถูกบังคับทำงานอย่างหนัก  เพื่อเร่งสร้างทางรถไฟให้เสร็จทันในเวลา 1 ปี บริเวณนี้เป็นค่ายเชลยขนาดใหญ่ และพักอยู่นานเพื่อสร้างสะพานถ้ำกระแซที่ยากลำบากระหว่างการสร้างทางและสะพานรถไฟจะถูกเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรมาทิ้งระเบิดบ่อยครั้งมาก ทหารญี่ปุ่น พร้อมเชลยศึกต้องวิ่งหาที่หลบภัย ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่หนึ่งซึ่งเชลยศึกได้วิ่งขึ้นมาเพื่อหลบภัยและได้ค้นพบ และทุกคนที่ได้มาหลบภัยในถ้ำแห่งนี้แล้วรอดพ้นจากการถูกระเบิดที่ทิ้งมาจากเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรอย่างน่าอัศจรรย์

Mr.John Coast เชลยศึกชาวออสเตรเลียที่รอดตายได้กลับมาเล่าว่า  ตนและชลยศึกอีกหลายคนที่ขึ้นมาหลบระเบิดในถ้ำนี้แล้วป่วยเป็นไข้ป่าอย่างหนักใกล้ตายกลับลงไปทำงานไม่ไหว  ทหารญี่ปุ่นที่คุมเชลยถ้ำแห่งนี้  เห็นว่าใกล้ตายจึงปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย  ไม่ให้อาหารและยา  ไม่นำกลับไปค่ายด้านล่างภูเขาเพื่อไปสร้างทางรถไฟต่อไป ปล่อยให้ตายบนเขาแห่งนี้ เชลยหลายสิบคนที่ป่วยเป็นไข้ป่า (มาลาเรีย)อย่างหนัก ไม่มียา ไม่มีอาหารให้กิน ได้อาศัยกินน้ำผึ้งป่า และผลไม้ป่าที่หาได้และอาศัยน้ำแอ่งหินภายในถ้ำ  แต่เกิดอัศจรรย์เมื่อกินน้ำที่อยํ่ในแอ่งหินขนาดเล็กภายในถ้ำที่ตักดื่มกินเท่าไหร่ก็ไม่แห้งสักที  แล้วทุกคนที่ป่วยจากไข้ป่าอย่างหนักกลับหายป่วยอย่างอัศจรรย์ทุกคน  จนทำให้ทหารญี่ปุ่นที่เป็นทหารเวรเฝ้าเชลยศึกแปลกใจเป็นอย่างมากว่าเชลยที่ป่วยใกล้ตายไม่มียาให้กินแล้วหายได้อย่างไร  Mr.John Coast  ได้บอกกับทหารญี่ปุ่นว่าได้ดื่มน้ำในแอ่งหินศักดิ์สิทธิ์ภายในถ้ำแล้วหายป่วยเอง  แต่ทหารญี่ปุ่นไม่เชื่อและได้นำเอาน้ำในแอ่งหินนี้ไปให้ทหารญี่ปุ่นเองและเชลยที่ป่วยเป็นไข้ป่าอย่างหนักกิน และไม่กี่วันทุกคนที่ป่วยหนักกลับหายป่วยจริง ทหารญี่ปุ่นจึงเชื่อ และได้ไว้วางใจ Mr.John Coast  และได้ให้เป็นหัวหน้างานและเป็นเชลยศึกผู้หนึ่งที่ได้รอดตายจากสงครามโลกครั้งที่สอง  ได้กลับมาเล่าประวัติฯ ถ้ำแห่งนี้ ถ้ำแห่งนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งสำคัญ และต่อมาจึงได้ตั้งชื่อว่า ถ้ำเชลยฯ